เทศน์บนศาลา

กิเลสหมดคุณค่า

๖ ส.ค. ๒๕๕o

 

กิเลสหมดคุณค่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ทศน์บนศาลา วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะออกมาจากหัวใจ ธรรมะนะ ถ้าธรรมะออกมาจากหัวใจมันจะเข้าถึงหัวใจเราไง เราเป็นชาวพุทธนะ ชาวพุทธ เห็นไหม พุทธะคือความรู้สึก ถ้าเราเป็นชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน เราก็เข้าใจว่าเราเป็นชาวพุทธ เราถือในวัฒนธรรมของพุทธ เห็นไหม มีการทำบุญกุศล มีการทำบุญตักบาตร สิ่งนั้นเป็นบุญกุศลไง มันเข้าได้ตื้นๆ นะ ถ้ามันเข้าได้ตื้นๆ มันเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธ

แล้วเราฟังธรรมกัน เห็นไหม ธรรมภาคปริยัติจะเล่าเรื่องนิทาน เรื่องชาดก เรื่องสิ่งต่างๆ ในตำราไง ในตำราคือในประสบการณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าในพระไตรปิฎกนี่ปริยัติไม่ผิดหรอก ไม่ผิดเพราะอะไร เพราะเป็นเหมือนฉลากยา ฉลากของยาเป็นกิริยาของธรรมไง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นะ หัวใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา นี่เสวยวิมุตติสุข สุขอันนี้มันอยู่ในท่ามกลางหัวใจของเรา สุขอันนี้ เห็นไหม สุขที่โคนต้นโพธิ์ สองพันห้าร้อยกว่าปีนั้นเป็นสุขขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นวิมุตติสุข

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์นะ เพราะว่าอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ตรัสรู้เองโดยชอบ เราสาวกสาวกะ ถ้าเป็นชาวพุทธโดยทะเบียนบ้าน เรื่องของนรกสวรรค์ เรื่องของนิพพานก็แทบจะไม่เชื่อกันแล้ว แล้วจะเอาตัวเองพ้นจากทุกข์นี่มันเป็นไปได้อย่างไร นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้นำไง

ถ้าเป็นผู้นำ ผู้ที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ผู้ที่สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วมาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่วิมุตติสุขอันนี้อยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านวิกฤตมา เห็นไหม ตั้งแต่ปฐมยาม มัชฌิมยาม สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานี่ วิกฤตอย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านขึ้นมาแล้ว มันถึงเป็นสัจจะความจริงไง ถ้าเป็นสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความสุขอันนั้น วิมุตติสุข

แต่ของเรา ใจของเรา เราเป็นชาวพุทธ สาวกสาวกะผู้ที่พยายามจะให้เข้าถึงธรรม ถ้าเข้าถึงธรรมนะ หัวใจของเรามันเป็นปุถุชน หัวใจของเรากิเลสมันครอบงำอยู่ เห็นไหม กิเลสนี้มีคุณค่ามาก กิเลสนี้มีคุณค่ากับเรา แต่เราไม่เห็นผลประโยชน์กับหัวใจเลย ไม่เห็นความจริงในสัจธรรมไง

ถ้าสัจธรรม ใจนี้ไม่เคยตาย ใจเราเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะเพราะมีกิเลสเป็นเจ้าวัฏฏะ กิเลสนี้เป็นผู้มีอำนาจเหนือใจดวงนั้น นี่กิเลสมันมีคุณค่า มันครอบงำอยู่ การศึกษาของเราก็ศึกษาเพื่อส่งเสริมกิเลสไง กิเลสมีคุณค่ามาก ถ้าเรามีการศึกษา มีการศึกษาขนาดไหน กิเลสมันก็พองตัวขึ้นมา มันอยู่เหนือความรู้สึกของเราตลอดไป เห็นไหม

ในการศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นปรมัตถธรรมนี้ก็แล้วแต่ ถ้ามีการศึกษาก็ว่าเรามีความรู้ เห็นไหม มันติดในความรู้ของตัวนี้ กิเลสมันอาศัยความรู้อันนั้นออกหาเหยื่อ มันก็หาเหยื่อนะ หาทิฏฐิมานะ หาความว่าเรารู้ เราเท่าทันกิเลส กิเลสมีคุณค่ามาก เพราะกิเลสมันอยู่หลังฉากของความคิด ถ้ามันอยู่หลังฉากของความคิดเรา เราคิดขนาดไหน กิเลสมันก็ไปกับความคิดของเราตลอดไป

แต่ถ้าเราฟังธรรมในภาคปฏิบัติล่ะ ถ้าเป็นการฟังธรรมในภาคปฏิบัติ เห็นไหม ศึกษามานี้เหมือนฉลากยา ฉลากยานะ คุณสมบัติคุณประโยชน์ของยา ยานี้ถ้าเราใช้ตามที่เขาบอกว่าให้เราใช้ยานั้น ผลจะเกิดอย่างนั้นๆ เห็นไหม ในภาคปริยัติมันก็เป็นฉลากของยา ยิ่งศึกษาขึ้นมาเราก็ไม่ได้ใช้ยานั้น เพราะมันเป็นฉลาก มันเป็นสิ่งที่ว่า บอกถึงว่ายานี้หมดอายุเมื่อไหร่ๆ มันก็พูดไปอย่างนั้นล่ะ แล้วเราก็ศึกษาอย่างนั้นมา เราเข้าใจอย่างนั้นไป นี่กิเลสมันไม่ได้มีการกระทำในกิเลสนั้น นี่ภาคปริยัติ

แต่ถ้าภาคปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ ตั้งแต่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มันต้องมีปริยัติ มันมีการศึกษา โลกนี้จะเจริญต้องใช้ปัญญา ปัญญานี้แข่งขันกันด้วยปัญญานะ แข่งขันกันด้วยความรู้ ความรู้อันนั้นถ้ากิเลสพาใช้ ความรู้อันนั้นมันก็ทำให้เราทุกข์ก่อนนะ เห็นไหม ไม่ได้ทำให้สังคมปั่นป่วนหรอก ทำให้เราทุกข์ก่อน เรานี่ทุกข์มาก เพราะปัญญานี้เราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ ขนาดเรามีวิชาชีพ เราก็หามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่เวลาเราทำเพื่อประโยชน์ของสังคมล่ะ เห็นไหม คนถ้ามีน้ำใจเสียสละ มีน้ำใจเป็นสาธารณะ มันจะคิดถึงสังคม คิดถึงโลก คิดถึงคนอื่น เห็นไหม

ถ้าคิดถึงคนอื่น สังคมก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่ความร่มเย็นเป็นสุขนะ เพราะอะไร เพราะความรู้ของเรา ถ้าความรู้ของเรา เรารู้มาใช่ไหม ในเมื่อกิเลสอยู่มันก็ติดความรู้นี้ ว่าความรู้นี้ต้องทำอย่างนั้น มันไปขัดแย้งไง ขัดแย้งในกระบวนการของความคิด ในความคิด ในทัศนะต่างๆ เห็นไหม ถ้าเราไม่แก้ปัญหา ตัวเราเองจะเป็นปัญหานะ

ในปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ถ้าเราไม่ได้แก้ปัญหานั้น ตัวเราเอง เพราะมันติดความคิดของเรา ความคิดมันต้องเป็นอย่างนั้น คนอื่นเขาแก้ปัญหาของเขาไป แล้วเราไม่ได้แก้ปัญหา นี่เราเห็นแย้งตลอดไป เห็นไหม นี่ความคิดของเรามันเป็นปัญหาอันหนึ่ง ถ้ากิเลสมันมีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนั้น

แต่เวลาเราศึกษาขึ้นมา เราเป็นชาวพุทธ วัฒนธรรมของชาวพุทธ เราจะถือศีล เราจะประพฤติปฏิบัติ แต่เราประพฤติปฏิบัติไม่มีผู้นำไง ไม่มีผู้รู้แจ้ง การประพฤติปฏิบัติของเรา เราก็ประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราถือศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗...ศีล ๒๒๗ นี้เป็นนักบวชแล้วนะ ศีล ๕ ศีล ๘ เราจะถือศีล

ถ้าเราถือศีล ศีลมันคืออะไร? ปาณาติปาตาฯ อทินนาฯ การกระทำ ปาณาติปาตาฯ การฆ่าสัตว์ให้ตกล่วง แต่ถ้าเป็นธรรม แม้แต่เราคิดนะ เราคิดเอารัดเอาเปรียบเขานี้ ปาณาฯ นะ เพราะมันเป็นมโนกรรม มันสร้างกรรมไง สร้างกรรมความคิดมันเกิดให้เรามีความรู้สึกไหม ดูสิ เวลาเราโกรธ เวลาเราคิดต่างๆ นี้ ความคิดเป็นความคิดขึ้นมานี่ ร่างกายมันจะสูบฉีดเลือดแรงมาก มันจะมีผลกระทบกับร่างกายนะ ความคิดเราคิดมาก มันจะเครียดมาก มันจะมีความกดทับ ความรู้สึก ความรู้สึกมันเครียด ในหัวใจมันจะหนักมาก เห็นไหม สิ่งอย่างนี้มันเป็นความทุกข์ในหัวใจ

ถ้าเราถือศีล เห็นไหม ปาณาติปาตาฯ เราไม่ทำลายเราเอง ไม่ทำลายคือความคิดที่คิดไม่ดี เราจะไม่คิดของเราเอง ถ้าเรามีศีล เห็นไหม อทินนาฯ ไม่ลักของเขา ไม่เอาเปรียบใคร กาเมสุมิจฉาจารฯ ถ้าเป็นคู่ครองของเรา ศีล ๕ มันเป็นไปได้ทั้งนั้นล่ะ มันไม่ผิดพลาดหรอก มุสาฯ เราจะไม่โกหกทั้งตัวเราด้วย และเราจะไม่โกหกคนอื่นด้วย ถ้าเราไม่โกหกตัวเรา เราโกหกเราก่อนนะ เราตั้งใจ เราจะตั้งสัจจะทำสิ่งใด แล้วเราไม่ทำสิ่งนั้น เห็นไหม เราโกหกเราแล้ว ดูสิ เวลาขอศีล ไปวัดไปวา ไปขอศีลกับพระ แล้วรับปากมาแล้วเราก็ไม่ได้ทำ สิ่งนี้มันโกหกกันทั้งนั้นน่ะ สุราเมรัย สิ่งต่างๆ นี้ เครื่องดองของเมา เมากันทั้งชีวิตนะ ชีวิตนี้เมา

ถ้าเรามีศีลของเรา เราจะไม่เมาไปกับอารมณ์ความรู้สึก เห็นไหม นี่กิเลสจะหมดคุณค่านะ เพราะเรามีศีลมีธรรมของเรานี้ กิเลสจะหมดคุณค่า เราทำของเรา เห็นไหม ให้ทำความคิดเราเหมือนผ้าขี้ริ้ว ไม่มีคุณค่าเลย ดูสิ ผ้าขี้ริ้ว ผ้าเช็ดเท้า เขาจะเช็ดเท้าขนาดไหน ใครมาก็เช็ดเท้าได้ๆ

ถ้าเราติดในความรู้ของเรา เราเรียนปริยัติ เรามีปัญญา ปัญญาเราสูงมาก เราว่าเรามีปัญญาของเรา เราก็ติดในความรู้ของเรา ถ้าติดในความรู้ของเรา นี่กิเลสมีคุณค่า ถ้ากิเลสมีคุณค่านะ มันจะเหยียบย่ำหัวใจเรา เราเหยียบย่ำหัวใจเราจนเราเครียด จนเรามีความเศร้าหมองในหัวใจ นี่กิเลสมันมีคุณค่า

แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรมของเรา เห็นไหม กิเลสมันจะหมดคุณค่า ถ้ากิเลสจะหมดคุณค่า มันจะไม่มีอะไรกระทบกระเทือนใจเรานะ มันไม่มีสิ่งกระทบกระเทือน ใจเราจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม

สิ่งกระทำแบบนี้มันกระทำแบบโลกๆ ไง เรื่องของโลกเป็นอย่างนี้นะ แล้วเราก็ไม่เข้าใจ อย่างนี้ได้ประพฤติปฏิบัติแล้ว ถ้าประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้มันหมดคุณค่า แต่เราเป็นคนดีในสังคม คนที่ไปวัดไปวาเป็นคนที่มีปัญหา เราเป็นคนดีแล้ว เราเป็นคนมีความสุข...มันสุขไปไม่ได้หรอก กิเลสมันเผาอยู่ในหัวใจนะ

สิ่งที่ว่ากิเลสมันหมดคุณค่า หมดคุณค่าเพราะมันมีศีลธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เราอ่านฉลากยานะ ยาต่างๆ เขามีคุณสมบัติต่างๆ เรารู้ไปหมดเลย เราอ่านไปหมดเลย แต่เราไม่ได้กินยานั้นเลย แล้วเราก็ยังไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ยังไม่รู้ว่าจำเป็นต้องใช้ขนาดไหน นี่มันก็เตรียมพร้อมหมดเลย แต่มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเราไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย เราไม่ต้องใช้ยานั้นไง

แต่ขณะที่มันเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาสิ เราจะใช้ยานั้น เราใช้ถูกจะใช้ผิดเพราะอะไร เพราะเราไม่เคยใช้ เราใช้ของเราไม่เป็น นี่เราจะเปิดยานั้นกินขึ้นมาเพื่อจะรักษาโรค เรายังเปิดไม่ถูกเลย เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลามันทุกข์ขึ้นมานี่หัวปั่นเลยนะ เวลามีปัญหาขึ้นมา เราเอาความรู้สึกเราไว้ในตัวเองไม่ได้หรอก มันกระชากลากไป เห็นไหม

เวลาจิตที่มันมีกิเลส เห็นไหม เหมือนช้างสารที่ตกมัน มันมีอำนาจนะ ฉุดกระชากเราไปตลอดเลย มันคิดอะไร มันต้องการสิ่งใด เราต้องหามาตอบสนองมัน เห็นไหม ทั้งๆ ที่ว่าเรา...จิตมันไม่มีคุณค่า เพราะเราไม่ไปตามโลกไง โลกเขาไปกัน เขาผิดศีลผิดธรรม เขาหาสิ่งที่เป็นโทษกับหัวใจของเขา เขาผิดศีลผิดธรรมนะ อะไรก็ได้ที่กิเลสมันต้องการ อะไรก็ได้ที่เขาแสวงหามาเพื่อมาตอบสนองมัน เห็นไหม เขาทำกัน ดูสิ ในโลกเขา เขามีคดมีโกงกัน เขาทำกันทั้งนั้นล่ะ เขาทำของเขา แต่ทำนั่นนะ มันเหยียบย่ำตัวเราเองก่อนนะ

คนจะทำดีมันก็เพื่อบุญกุศล เพื่อเรา เพื่อจิตใจของเรา เราทำความชั่ว ทำสิ่งต่างๆ เพื่อเอาเปรียบเขา มันเท่ากับทำลายตัวเอง แต่เขาไม่รู้ นี่กิเลสมันไม่ให้รู้ ถ้ากิเลสมันมีคุณค่ามันไม่ให้รู้หรอก มันว่ากิเลส นี่มันสิ่งต่างๆ...

คำว่า “กิเลส” คือการเอารัดเอาเปรียบใจเราก่อน พอเราเอารัดเอาเปรียบความรู้สึกของเรา ก็คิดทำแต่เป็นกลอุบายออกไปที่จะเอารัดเอาเปรียบคนข้างนอก เอารัดเอาเปรียบคนในสังคมเขา ถ้าเอารัดเอาเปรียบในสังคมเขา นี่มันทำลายตัวมันอย่างนี้ ทำลาย ในคุณธรรมนี่มันทำลาย

ครูบาอาจารย์ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นแล้วมันสลดสังเวชนะ เป็นปลงธรรมสังเวช ผู้ที่ทำลายตน แต่เขาไม่รู้จักว่าเขาทำลายตน แต่เขาหาผลประโยชน์ของเขา เขาว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ของเขา สิ่งที่เป็นประโยชน์ของเขา คือสิ่งที่กิเลสมันเอาแต่กรรมเอาแต่เวรมาทับถมหัวใจ เห็นไหม นี่สิ่งที่เป็นกิเลสมีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนั้น

แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรมของเรา มันเป็นปกติ จิตมันเป็นปกติ ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติ เห็นไหม กิเลสไม่มีคุณค่า มันก็มีความร่มเย็นเป็นสุข แต่นี้มันเป็นสุขของศีลธรรมจริยธรรมไง

แต่เวลาถ้าเราจะถือศีล ๒๒๗ ถ้าจะถือศีล ๒๒๗ เวลาพระภิกษุ อุปัชฌาย์ เวลาเขาไปบวช เห็นไหม จะให้กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้าเราถือศีล แล้วเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันเกี่ยวอะไรกับศีลล่ะ มันเกี่ยวอะไรกับความปกติของใจล่ะ

ความปกติของใจมันเป็นปกติของใจ ปกติของใจมันเป็นปุถุชนนะ ปุถุชนนี่คนหนาด้วยกิเลส สิ่งที่คนหนาด้วยกิเลส ขนาดว่าเรากดทับ เราใช้สติกดไว้เฉยๆ เรามีศีลธรรมจริยธรรม มันมีกิริยามารยาทกดไว้เฉยๆ นะ แต่มันเอาชำระล้างความสะอาดอย่างนี้ไม่ได้หรอก มันถึงเป็นปุถุชนไง แล้วเป็นกัลยาณปุถุชนล่ะ

ในรูป รส กลิ่น เสียง สิ่งที่จิตมันเคลื่อนไหว มันจะกระเทือน มันก็กระเทือนรูป รส กลิ่น เสียงนี่ ถ้ารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ มันสะเทือนหัวใจ ถ้ามันสะเทือนหัวใจ เห็นไหม มันควบคุมไม่ได้ ขณะที่ควบคุม คนยังไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ไม่เคยไข้ ยาก็ไม่มีความสำคัญ แต่ขณะที่มันเจ็บ มันไข้ มันป่วย ขึ้นมา ยาก็มีความสำคัญ นี่ปุถุชนมันไม่เจ็บไม่ป่วย มันก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นความเจ็บความป่วยไข้ของใจ ใจมันป่วยไข้นะ มันมีโรคกิเลส โรคที่มันต้องเสื่อมสภาพไปโดยธรรมดาของมัน มันมีฝังอยู่ในหัวใจ มันก็ไม่รู้ว่ามันป่วยมันไข้ เห็นไหม

แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะปฏิบัติของเรา เห็นไหม เพื่ออะไร? เพื่อให้เข้าถึงสัจจะความจริง ถ้าเข้าถึงสัจจะความจริงมันก็ต้องกำหนดพุทโธๆๆ ก่อน ทำความสงบของใจเข้ามา มีคำบริกรรมก่อน ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามาให้จิตมันสงบเข้ามา แล้วมันสงบได้ไหมล่ะ? ไม่ได้เพราะอะไร เพราะมีสิ่งเร้า

สิ่งเร้า คือกิเลสตัณหาในหัวใจของเราเป็นสิ่งเร้า ปุถุชนมันควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชน เพราะอะไร เพราะมันเห็นรูป รส กลิ่น เสียงนี้เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร สิ่งที่เป็นบ่วงของมาร สิ่งใดที่มันพอใจมันก็คิดไปตามเขา เสียงกระทบหูก็ได้ยินไปตามเขา สิ่งใดกระทบมานี่ รูป รส กลิ่น เสียง มันทำให้เราคิดตามเขาไปหมดเลย คิดตามเขาไป เป็นเหยื่อเขาไป ต้องการแสวงหา ถ้าไม่ได้ไม่มีก็พยายามนึกคิดของตัวเองขึ้นมา เพื่อจะให้ใจมันได้เสพสภาวะแบบนั้น

แต่เวลาเราออกวิเวก ออกไปในที่สงัด ห่างจากรูป รส กลิ่น เสียง เห็นไหม พอ รูป รส กลิ่น เสียง จิตมันก็ดิ้นรนนะ เราหาสถานที่ที่สงบสงัด จิตมันก็ยังคิดของมันอยู่ มันหยุดของมันไม่ได้ ถ้ามันหยุดของมันไม่ได้ มันเป็นเพราะเหตุใดล่ะ เพราะไอ้เรื่องสิ่งที่ว่าฉลากของยากับเนื้อยามันต่างกันไง

ฉลากของยา เห็นไหม ศีลธรรมจริยธรรมจากภายนอก ถ้ามันทำให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันลดลง เพราะอะไร เพราะเรามีคุณธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธไง อ่อนน้อมถ่อมตน จิตนี้อ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่อ่อนน้อมถ่อมตน แต่กิเลสมันอ่อนน้อมด้วยไหมล่ะ กิเลสมันอยู่ภายในไง สิ่งที่เป็นภายในเพราะอะไร เพราะยังไม่ได้รักษา ยังไม่ได้ทำความสะอาดของใจนะ ใจสะอาดไปไม่ได้เลย แต่ความสะอาดของใจเราจะรักษา เราทำความสะอาดใจเอาอะไรทำ ทำที่ตรงไหน ทำอย่างไร? ทำที่หัวใจสิ เพราะหัวใจมันตัวพาเกิดพาตายนะ

สิ่งที่เกิดขึ้นมา ถ้าเรายังไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม อะไรคือหัวใจ อะไรคือร่างกาย ร่างกายนี้จับต้องกันได้ ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ไปหาหมอ เขาจะรักษาให้ได้ แต่หัวใจนี้ไปหาหมอ ไปหาจิตแพทย์ จิตแพทย์ก็แก้ไขแต่ความเครียด ความวิตกกังวลเท่านั้นเอง จิตแพทย์ไม่สามารถเข้าไปถึงชำระกิเลสจากหัวใจได้ จิตแพทย์ทำให้มนุษย์ที่จิตบกพร่องให้กลับมาเป็นจิตที่ปกติเท่านั้นเอง ถ้าจิตที่เป็นปกติ ถึงว่า รักษาถึงผลของเขาแล้ว

แต่จิตที่ปกติขึ้นมานี่คนยังทุกข์ไหม คนยังเกิด คนยังตายไหม? คนก็ยังทุกข์ คนก็ยังเกิดยังตายโดยธรรมชาติโดยสภาวะแบบนั้น สิ่งที่จะรักษาได้คือธรรมไง คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา

ศีล เรารักษาให้เป็นปกติของใจขึ้นมาจนกิเลสมันไม่มีคุณค่า พอกิเลสไม่มีคุณค่า เราเริ่มรักษาของเรา เราจะต้องมีการกระทำที่ลึกไปกว่านั้น ถ้ามีความลึกไปกว่านั้น เห็นไหม เราจะชำระกิเลสที่ไหน ก็ต้องกำหนดให้จิตมันสงบเข้ามา

จิตสงบไม่ได้ มันติดในรูป รส กลิ่น เสียง ถ้ามันใช้ปัญญาใคร่ครวญ ใช้คำบริกรรม มันเห็นรูป รส กลิ่น เสียงนี้เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ทำบ่อยครั้งเข้าๆ จนเห็นโทษของมัน

ถ้าเห็นโทษของมันนะ รูป รส กลิ่น เสียง มันไม่เป็นกิเลสหรอก มันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นล่ะ นี่สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของเขา มันเป็นคุณประโยชน์ของการสื่อสารมวลชนด้วย สื่อสารมวลชน เห็นไหม เขาใช้เสียง เขาใช้คลื่น เขาใช้วิทยุต่างๆ เขาสื่อสาร เป็นอาชีพของเขานะ เขาแสวงหาเงินหาทองจนเขาร่ำเขารวย นี่เขาใช้สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเขา แต่เราไปใช้สิ่งนั้นมาเป็นโทษกับเรา เพราะอะไร เพราะมันให้ผล เห็นไหม

ดูสิ เวลาเราไปฟังข่าวต่างๆ สิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ใจมันฟูไหมล่ะ? ใจมันก็ฟูนะ เราจะแก้ไข เหตุการณ์นั้นได้หรือไม่ได้ เพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นมันก็ผ่านไปแล้ว เพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นมา มันถึงเป็นข่าวออกมา ข่าวออกมาแล้ว สิ่งที่เป็นอดีตไปแล้ว เรารู้เมื่อไหร่มันก็เป็นผลในปัจจุบันนั้น เกิดให้หัวใจรับรู้สิ่งนั้น มันก็เกิดอาการ จิตมันก็กระเพื่อมเดี๋ยวนั้น นี่สิ่งนี้มันควบคุมไม่ได้

แต่ถ้าเราเห็นโทษของมัน เห็นไหม สิ่งนั้นก็คือสิ่งนั้น สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์กับโลก ถ้าเขาก็ใช้ประโยชน์กับโลกของเขา แต่ประโยชน์ของเรามันไม่เกิด ประโยชน์ของเรามันไม่มี เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราคือการเกิดและการตาย เรื่องของเราคือความทุกข์ความสุขของเราในหัวใจของเรา ถ้าเรื่องของเราเป็นอย่างนี้ ขณะปัจจุบันนี้เรามีสติสัมปชัญญะ เรามีความพร้อม เรามีศรัทธาความเชื่อ เราจะเริ่มแก้ไขของเรา เห็นไหม คนเรามีศรัทธาความเชื่อนะ มันจะเริ่มเปิดภาชนะของเรา หงายภาชนะของเราขึ้นนะ

ถ้าคนไม่มีศรัทธาความเชื่อ ศาสนาก็คือศาสนา ดูสิ สิ่งที่เราไม่ต้องการ เราไม่ปรารถนา ในตลาดมีมหาศาลเลย เราก็ไม่ไปแสวงหามา เราต้องการสิ่งใดล่ะ เราขาดแคลนสิ่งใด เราต้องการสิ่งใด เราก็ไปแสวงหาสิ่งที่เราต้องการมาใช่ไหม แล้วจิตมันไม่มีศรัทธาความเชื่อ แม้แต่นรกสวรรค์ก็ไม่เชื่อ จิตเกิดมาจากไหนก็ไม่เชื่อ สิ่งนี้มันเป็นปัจจุบัน เกิดมาแล้วก็ตายสูญ เกิดมาก็เกิดมาโดยธรรมชาติ ตายก็ตายไปตามธรรมชาติ...นี่มันคิดได้ กิเลสถ้ามันมีคุณค่านะ มันก็เหยียบย่ำใจอย่างนี้

แต่ถ้ากิเลสมันเริ่มหมดคุณค่านะ มันหมดคุณค่า มันไม่มีคุณค่าของมัน จิตมันก็สงบเข้ามา เราก็เป็นชาวพุทธแท้ ชาวพุทธแท้เพราะอะไร เพราะเห็นว่าสิ่งนั้นมันเป็นเรื่องปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย แต่เรื่องของคุณธรรมในหัวใจ เรื่องความสุข ความสมหวังนี้ ใครบ้างไม่ปรารถนา ถ้ายอดความปรารถนาแล้วจะหาที่ไหน? ถ้าจะหาให้เจอนะก็ต้องหาในหัวใจของเรา ถ้าหาในหัวใจของเรา หัวใจของเราเป็นนามธรรมนะ

ตำราทั้งหมด วิชาการทั้งหมด ชี้เข้ามาที่ใจ ตำราทั้งหมด การวิปัสสนาทั้งหมด เดินจงกรมทั้งหมด นั่งสมาธิทั้งหมด ชี้กลับมาที่การชำระสะสางเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ แต่เรื่องตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ การเคลื่อนไหวไปมันจะกลับมาสงบได้อย่างไร

การเคลื่อนไหวไป การกำหนดพุทโธไป การเดินจงกรมนะกลับให้ผลของสมาธิในทางจงกรม กลับมีคุณประโยชน์มาก ดูจากว่ามันเป็นไปได้ยากกว่าการนั่งสมาธิ แต่ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมาแล้วมันก็เสื่อมได้ยากกว่าเหมือนกัน สิ่งที่เสื่อมได้ยากกว่า ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา สิ่งที่เป็นสมาธิเพราะมันปล่อยรูป รส กลิ่น เสียงเข้ามา ถ้ามันปล่อยรูป รส กลิ่น เสียง เข้ามา จิตมันถึงจะปล่อยอาการของใจ ปล่อยรูป รส กลิ่น เสียง สิ่งที่สื่อความหมายที่ให้ใจกระเพื่อม นี่มันปล่อยจากสิ่งนั้นเข้ามา ถ้ามันปล่อยเข้ามา เราเห็นจากปุถุชน แล้วกัลยาณปุถุชน ความต่างกันของวุฒิภาวะมันก็ต่างกันแล้ว

ปุถุชน คือเหมือนกับไฟฟ้า พลังงานต่างๆ มันแสดงตัวของมันโดยธรรมชาติ โดยความคิดนะ เสียงกระทบหู ถ้าจิตมันรับรู้ตลอด มันได้ยินตลอดไป แต่เวลาจิตมันสงบเข้ามานะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธินะ เสียงดังจะฟ้าผ่าขนาดไหน จิตมันสงบเป็นอัปปนาอยู่ในหัวใจ มันจะไม่รับรู้สิ่งต่างๆ เลย แต่จิตมันรู้ตัวของมันอยู่นะ จิตนี้รู้จักความสงบ รู้จักสมาธิ มันอยู่ในสมาธินี่มันรับรู้ต่างๆ รับรู้ในวงของสมาธิ ในวงของความรู้สึกของจิตนั้น แต่จิตนั้นไม่ออกมารับรู้ในอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จะไม่ได้ยินสิ่งใดๆ เลย เห็นไหม

ขณะที่จิตมันปล่อย เสียงก็มีโดยธรรมชาติของเสียง ทุกอย่างมีของเขา ทำไมมันไม่รับรู้ล่ะ แล้วไม่รับรู้มีความสุขด้วย มีความสุขมันเป็นความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ของจิตดวงนี้ แม้แต่จิตสงบเข้ามามันก็จะเป็นความมหัศจรรย์ของจิตดวงนี้แล้วว่า นี่รสของความสุข สมาธิธรรม รสของทุนเฉยๆ นะ สมาธินี่เป็นหนึ่งในมรรค ๘ นะ

แล้วถ้าจากกัลยาณปุถุชน เวลาบวชขึ้นมา เราเป็นนักบวช เราเป็นพระ เห็นไหม อุปัชฌาย์ให้อะไรมา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สอนสิ่งง่ายๆ อย่างนี้หรือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่นะมันทิ่มตาทุกวันไง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นธรรมชาติของมนุษย์ อยู่กับเราตลอดไป เห็นไหม สิ่งอย่างนี้เพราะอะไร เพราะจิตของเรา ถ้ากิเลสมันหมดคุณค่า เราถือศีลของเรา ศีล ๘ ของเรา เราก็ไม่ใช้ของหอม ไม่ใช้ต่างๆ อย่างนี้ก็เป็นศีล เห็นไหม

แต่ถ้ามันเป็นการชำระกิเลส มันจะทะลุผิวหนังเข้าไปนะ ถ้ามันเห็นกายโดยธรรมชาติ เห็นกาย จิตมันวิปัสสนาไป จิตเป็นเอกัคคตารมณ์แล้วน้อมไปเห็นกาย เห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ วิภาคะนี่ด้วยปัญญาของจิต ด้วยความเป็นไปของจิต มันเห็นทะลุเข้าไปในหนัง ในเนื้อในหนัง เล็บชิ้นเดียวขยายส่วนแยกส่วน ให้วิภาคะ ให้เห็นความเป็นไปของมัน ความเป็นไป นี้เป็นสภาวธรรมนะ

ถ้าเป็นสภาวะของเรา เรามีปัญญาของเรา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเหมือนกัน เรามีปัญญาเหมือนกัน เรานึกความขยายความ จิตมันก็เป็นไปนะ แต่มันไม่เป็นธรรมหรอก ไม่เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะกิเลสมันอาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาการไง อาการที่เราเห็นไปนี่กิเลสมันสร้างภาพได้ สิ่งนี้เป็นการสร้างภาพเพราะอะไร เพราะจิตมันไม่เป็นสมาธิ จิตมันไม่มีหลักมีฐานของมันไง

ถ้าจิตมันมีหลักมีฐานของมัน นั่นเป็นสภาวธรรมนะ สภาวธรรมคือสัจธรรม สัจจะ อริยสัจจะ อริยสัจจะเกิดที่ไหน สัจธรรม สัจจะความจริง นี่โลกนี้ ธรรมชาติสภาวะแบบนี้ นี่คือสัจธรรม สัจธรรมคือธรรมะที่มันแปรปรวนอยู่อย่างนี้ นี่คือสัจธรรม

แต่อริยสัจจะล่ะ เพราะจิตเวลามันเห็น มันวิปัสสนาขึ้นมา มันไม่เป็นจิตธรรมดาอย่างเรานะ ปุถุชน เห็นไหม ดูสิ ดูคนมีบุญกุศล คนสร้างบุญกุศลมา เกิดมาจะมีความสุขมาในชีวิตนี้ตลอดไป แล้วก็ทำบุญกุศลของเขา เขาได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีของเขา เขาตายไปแล้วจิตก็ต้องไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ก็หมุนอยู่อย่างนั้นน่ะ จิตอย่างนั้นมันเป็นสภาวะแบบนั้น นี่จิตมันอยู่ในวัฏฏะ จิตนี้อยู่ในวัฏฏะ วนเวียนไปในวัฏฏะ จะเกิดจะตายไปในวัฏฏะ เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติ

แต่ถ้าอริยสัจจะ เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค...อริยสัจ สิ่งที่เป็นอริยสัจมันเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดมาจากสัจธรรมนี้ หัวใจอย่างนี้ หัวใจที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ หัวใจที่ทุกข์ๆ อยู่นี่ หัวใจที่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นฉลากยา เราศึกษามาแล้วเราได้ทดสอบ เราได้ทดลองไหม

เราไปซื้อยามานะ เจ็บไข้ได้ป่วย นี่หายามา ถ้าเรากินยาเข้าไป โรคภัยมันก็หาย แต่เวลาเป็นอริยสัจขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันหาซื้อมาจากไหน? มันกลั่นออกมาจากใจทั้งนั้นน่ะ ใจที่มันฟุ้งซ่านอยู่ ใจที่มันเป็นมีความทุกข์อยู่นี่ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราเชื่อมั่นในธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีศรัทธามีความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อมันจะบุกเบิกได้ทั้งหมด เรามีสติแล้วกำหนดให้ดี ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิก็สติตามไป สติตามความคิดไป

ความคิดนี้มันมีทั้งผลบวกและผลลบ ความคิดที่เป็นผลดี เห็นไหม ความคิดที่เป็นธรรมะ ความคิดที่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดแล้วก็ชื่นอกชื่นใจ เห็นไหม ความคิดในทางลบนะ เกิดมานี่เราไม่มีอำนาจวาสนา เกิดมาแล้วเราไม่มีโอกาส เราทำอะไรก็ล้มลุกคลุกคลาน ทำไมไม่เหมือนคนอื่นเขา...นี่มันตัดรอนนะ

ความคิดก็คือความคิด ดูสิ ดูคลื่นวิทยุสิ ถ้าเขาให้รหัสเข้าไปมันก็จะมีเสียงขึ้นมา ถ้าคลื่นวิทยุมันไปตามกระแสคลื่นวิทยุ มันไม่ใส่รหัสเข้าไป นี่ความคิดก็คือความคิด แต่เวลาคิดดีคิดชั่ว มันก็คิดออกมาจากกิเลส คิดออกมาจากตัณหาความทะยานอยาก คิดออกมาจากธรรม เพราะเราชักฉลาดขึ้นไง สิ่งใดที่เป็นความคิดที่มันให้ผลเป็นลบ มันให้เราทุกข์ไหม ให้หัวใจเราเศร้าหมองไหม

สิ่งที่เราคิดรื่นเริง ชื่นใจ เรายังมีอำนาจวาสนา เราจะแก่เฒ่าขนาดไหน เราจะบวชเมื่อหนุ่ม เราจะบวชเมื่อแก่ เราก็มีโอกาส เพราะอะไร เพราะเราได้เป็นนักบวชแล้ว เรามีโอกาสแล้ว เราเกิดมาแล้วเราจะเริ่มถากถางแล้ว ถากถางความรู้สึกของเรา ถากถางเรื่องของใจของเรา เราจะถากถางมันนะ บวชมาเพื่อชำระกิเลส นี่ประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมาเพื่อชำระกิเลส เห็นไหม นี่ถ้ากิเลสมันไม่มีคุณค่า ไม่มีคุณค่าเพราะอะไร เพราะเราไม่อยู่กับโลกเขา

โลกเขา เขาอยู่โดยความสุขสมบูรณ์ของเขา เขาจะดำรงชีวิตของเขาด้วยความสะดวกสบาย เทคโนโลยียิ่งเจริญอย่างนี้ อะไรกดปุ่มไปหมดเลย แล้วเราบวชเป็นพระขึ้นมา เห็นไหม บวชเป็นนักบวชขึ้นมา ถือศีล ๘ ผู้อยู่วัดถือศีล ๘ แม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่กินแล้ว ไม่นอนในที่สูงใหญ่ ไม่ทำกับเขาทางโลก ไม่ทำกับเขา เห็นไหม นี่กิเลสมันหมดคุณค่าไปเรื่อยๆ

แล้วเป็นนักรบ บวชพระขึ้นมา บริขาร ๘ เท่านั้นนะ สิ่งที่เป็นบริขาร ๘ เป็นสมบัติของสงฆ์ สมบัติของภิกษุองค์นั้น แต่สิ่งที่เป็นเครื่องอาศัยของสงฆ์ ของของสงฆ์ กับเป็นของของบุคคล สิ่งที่เป็นบริขาร ๘ สิ่งที่เราใช้ สิ่งนี้ใช้เป็นของสงฆ์ เอามาใช้ชั่วคราว บำรุงรักษาแล้วก็เก็บคืนเขา นี่คือสมบัติของเรานะ เพราะอะไร เพราะไม่ใช้ชีวิตแบบโลกๆ เขาไง โลกของเขาใช้ชีวิตสะดวกสบายของเขา แต่นี่โลกของเรา เราไม่ให้กิเลสมันฟูขึ้นมา มันเป็นการตัดรอนกำลังของมัน เห็นไหม นี่เรามีโอกาสแล้ว

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สิ่งที่มันบังตานะ มันบังตาเรา เราเข้าไปไม่ถึงไง ถ้าเราเข้าถึง เราทำ อริยสัจมันเกิด เห็นไหม ธรรมะเกิดไง สิ่งที่สภาวธรรมเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากงานภายในนะ เราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราทำงานกันจากภายนอกเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติเรารักษา

สิ่งที่ความสะดวก ความสะอาด สะอาดมาจากข้างนอก ถ้าจิตมันสะอาดนะ ทุกอย่างจะสะอาดเข้ามา ถ้าจิตมันสกปรกเข้ามา เห็นไหม โน่นก็ไม่สำคัญ โน่นก็ไม่ต้องทำ สิ่งต่างๆ เขาทำกันหมดแล้ว เห็นไหม นั่นมันประโยชน์ของเขา ประโยชน์เรา เราทำซ้ำซ้อนทำไม

แล้วเวลาเราทุกข์ล่ะ เวลาเวทนามันเกิดขึ้นมา เวลาสิ่งที่มันเกิดขึ้นมานี่เป็นของเราหรือเปล่าล่ะ ของคนอื่นเขาทำกันหมดแล้ว เขาทำบุญกุศลของเขา เขาทำเป็นกิจกรรมของเขา เขาได้บุญกุศลของเขา จิตมันมีบารมีธรรมในหัวใจของเขา สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาแยกแยะได้นะ เขาเห็นคุณเห็นโทษของมัน นี่เวทนาสักแต่ว่าเวทนา เวทนาเกิดขึ้นมาเราจะมีปัญญาแก้ไขมัน นี่เขามีหลักมีเกณฑ์ เพราะจิตมันมีจุดยืน จิตเป็นเอกัคคาตารมณ์

แต่เราไม่มีจุดยืนนะ ข้างนอกก็ไม่เอา ข้างในก็ไม่เอา พอข้างในก็ไม่เอา พอมันเกิดอะไรขึ้นมามันก็ล้มลุกคลุกคลานไง โน่นก็โอด นี่ก็โอย เห็นไหม เพราะข้างนอกก็ไม่เป็นไร แล้วข้างในเวลาเกิดขึ้นมามันเป็นอะไรไหมล่ะ? ไม่เป็นไรทำไมมันโกรธล่ะ ไม่เป็นไรทำไมมันเหยียบย่ำหัวใจล่ะ นี่เพราะจิตมันไม่มีหลักมีเกณฑ์

ถ้าจิตมีหลักมีเกณฑ์นะ สิ่งใดเกิดขึ้น เราฝึกมาจากข้างนอกใช่ไหม ถ้าเรามีสัจจะ ธุดงควัตรเราก็เข้มข้น สิ่งต่างๆ มันก็เข้มข้นขึ้นมาจากใจของเรา เพราะใจมันมีสัจจะ สัจจะมันจะเข้าสู่อริยสัจจะ

ถ้ามีสัจจะขึ้นมา เรามีสัจจะกับตัวเอง เห็นไหม อะไรจะเกิดขึ้นมาก็ต้องพิสูจน์กันก่อน เราไม่เชื่อสิ่งที่กิเลสมันจะหลอกเรานะ จะเป็นอย่างนั้น จะปล่อยอย่างนั้น คือกิเลสมันจะให้เราล้มลุกคลุกคลาน ในการมาปฏิบัติของเรานี่ ถึงส่วนหนึ่งมันก็มองข้ามๆ คือมันจะข้ามไง มันสุกเอาเผากินไง มันจะเอาสะดวกสบาย เจ็บไข้ได้ป่วยก็หลบเอา เวลาเวทนาเกิดขึ้นมาก็หลบ หลบก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ...มันหลบเลี่ยงเขามา มันสุกเอาเผากิน มันมักง่าย นี่มันไม่เป็นไปหรอก

แต่ถ้ามันเป็นไป ถ้ามีสัจจะขึ้นมาเป็นความจริง ถ้าเราเป็นอย่างนี้แล้วเดี๋ยวเราก็ต้องมารอบ ๒ รอบ ๓ เห็นไหม ถ้ามันปวดอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่ได้พิจารณาของมันอย่างนี้ ถ้าเราไม่สู้มันเดี๋ยวก็เกิดอีก สิ่งที่เกิดอีกแล้วจะให้เกิดซ้ำเกิดซากอยู่อย่างนี้ทำไม ถ้าไม่ให้เกิดซ้ำเกิดซากก็ต้องพิสูจน์กัน ต้องต่อสู้กัน พิสูจน์กัน นี่สัจจะมันเกิดอย่างนี้ไง เกิดมาจากข้างนอก สิ่งใดที่เป็นธรรม เราก็ทำของเขา สิ่งใดเราทำมา เราก็ทำเพื่อเรา นี่ทำเพื่อเรา

เวลาโลกเขา เวลาเขาเอาเปรียบกัน เขาทำลายคนอื่น เขาก็คิดทำลายคนอื่น นั่นก็เท่ากับทำลายตน นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราสร้างของเราขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมามันก็เพื่อบารมีธรรมอันนี้ ถ้าบารมีธรรมอันนี้ สัจจะอันนี้มันเกิดขึ้นมา สัจจะเราฝึกฝนของเราขึ้นมา นี่หน่ออ่อนมันจะเข้มแข็งขึ้นมานะ หน่ออ่อน สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรามันจะเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าเข้มแข็งขึ้นมามันจะทำสิ่งใดมันก็ทำได้ งานจะหนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดไหนมันก็ทำของมันได้ เห็นไหม

ทำอย่างนี้เพื่อใคร? ทำอย่างนี้เพื่อให้มันทะลุเข้าไปใน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไง

สิ่งที่วิภาคะ เวลามันเจ็บป่วย มันเจ็บป่วยมาจากไหนล่ะ? มันก็เจ็บป่วยขึ้นมาจากภายในหนังหุ้มอยู่นี่ สิ่งที่หนังหุ้มอยู่โดยรอบ แล้ววิภาคะมันแยกส่วน มันแปรสภาพของมันโดยธรรมชาติของมันนะ โดยกำลังของจิต จิตของแต่ละดวงนี้กำลังไม่เหมือนกัน วิปัสสนาหนสองหน เข้าใจก็มี วิปัสสนา ๑๐ หน ๒๐ หน มันไม่สมุจเฉทปหานก็มี สิ่งที่ไม่สมุจเฉทปหานเพราะอะไร เพราะจิตของคนไม่เหมือนกัน การกระทำถึงเทียบเคียงกันไม่ได้

ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ในสังคมของนักปฏิบัติเรา เราจะสนทนาธรรมกันเพื่อให้เป็นเทคนิคไง เพื่อให้เป็นคติเตือนใจ คติธรรมของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ โอกาสอย่างนี้ อาการอย่างนี้ กระทำอย่างนี้ ฟังไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ แต่ขณะประพฤติปฏิบัตินี่มันให้เกิดขึ้นกับเรา

เราเป็นคนผสมยานั้นเองนะ เราต้องเป็นคนผสมยาขึ้นมา นี่มรรคญาณมันเกิด ความเพียรชอบ งานชอบ ดำริชอบ ปัญญาชอบ ทุกอย่างเราต้องไปแสวงหา การฝึกปัญญาไง จิตมันสงบขนาดไหน มันเป็นความสงบของใจนะ ความสงบของใจเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธินี่เป็นขั้นตอนอันหนึ่งให้โอกาสเราทำงานเพื่อจะให้ทะลุผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เข้าไป

ขณะที่มันกำลังใคร่ครวญผม ขน เล็บ ฟัน หนัง การแยกแยะการขยายส่วนมันคือปัญญา ปัญญาต่างๆ เราแยกแยะอย่างนี้ เราฝึกฝนขั้นของปัญญา เห็นไหม ทดสอบอย่างนี้ๆ ทดสอบแต่ละหนแต่ละคราวมันก็ไม่เหมือนกัน กำลังของจิตก็ไม่เหมือนกัน ปัญญาที่มันหมุนออกไปก็ไม่เท่ากัน สิ่งที่ไม่เท่ากัน รอบหนึ่งหนหนึ่ง ดูสิ อากาศตอนเช้าเป็นอย่างหนึ่ง อากาศตอนกลางวันเป็นอย่างหนึ่ง อากาศตอนเย็นเป็นอย่างหนึ่ง ความคิดแต่ละรอบมันก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกัน เราก็ทำขยันหมั่นเพียรของเรา เราแยกแยะของเรา นี่ทำแล้วทำเล่าขึ้นมา เห็นไหม

สิ่งที่เราแยกบ่อยครั้งเข้าๆ มา เพื่อจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน เราก็เห็นอาการ อ๋อ! จิตมันเป็นอย่างนี้ จิตของเราเองนี่ เราไปหาแต่ว่าคนข้างนอก คนต่างๆ เขาจะทำร้ายเรา ทำลายเรา แต่เราไม่ได้คิดเลยว่ากิเลสตัณหาในหัวใจเรามันขัดแย้ง มันมีเล่ห์มีเหลี่ยม มีมารยาสาไถยกับหัวใจของเรามาตลอด

ขณะที่เป็นปุถุชน สิ่งนั้นเป็นการคาดการหมาย ผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม เพราะการคาดการหมายในฉลากนั้นมันก็ให้ผลไปอีกอย่างหนึ่ง ขณะที่เราวิปัสสนา เราใช้ปัญญาของเราเข้าไปเรื่อยๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรามาเรื่อยๆ มันสงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้า ถ้าใช้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ แต่ถ้าใช้เป็นกำหนดคำบริกรรมพุทโธๆ เข้ามาของเราบ่อยครั้งเข้าๆ เวลามันเห็นโทษไง คราวนี้สงบได้ง่าย คราวนั้นสงบได้ยาก แล้วการสงบอย่างนี้มันสงบรสชาติก็ต่างกัน

สิ่งที่ต่างกัน จากปุถุชน กัลยาณปุถุชน ถ้ามีการชำระนะ มันขาดออกไปนี่มันเห็นความต่างระหว่างจิตที่เป็นปุถุชนกับจิตที่เป็นปุถุชนเหมือนกัน แต่เป็นกัลยาณชน ที่ว่า มันจะเริ่มเอาใจดวงนี้ เอาความเห็นนี้ เอาความรู้สึกของใจนี้น้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ด้วยตาของใจ ไม่ใช่ด้วยสัญญา สัญญาคือสามัญสำนึก

เห็นโดยเป็นสามัญสำนึกไง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้สอนอะไรง่ายๆ ขนาดนี้ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้นะ อุปัชฌาย์ทุกองค์ต้องสอน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้กรรมฐานแก่ผู้ที่บวชใหม่ทุกองค์ ผู้ที่บวชใหม่ เพราะคนบวชใหม่มันยังมีโอกาสไง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีอำนาจวาสนาหรือไม่มีอำนาจวาสนา

คำว่า “อำนาจวาสนา” นี่ใจมันฝักใฝ่นะ ใจมันแสวงหา ใจมันต้องการ แล้วถ้าใจฝักใฝ่ มันแสวงหา มันต้องการนี้ สิ่งที่ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สิ่งนี้มันสะเทือนหัวใจไหม ถ้ามันสะเทือนหัวใจ ทำให้เราได้สติสตัง แล้วถ้าเราทำของเราไป เราทำความสงบของใจเข้ามา นี่ศึกษาในภาคปฏิบัติเลย

ถ้าศึกษาในภาคปริยัติ เห็นไหม ตำราเรามี เราเปิดได้ สิ่งที่เราเปิดได้นี่เทียบเคียงมาว่าสิ่งที่ทีทำมานี้ถูกต้องหรือผิดพลาด ถูกต้องหรือผิดพลาดจากตำราอันหนึ่งนะ ถูกต้องผิดพลาดจากรสชาติของใจ ใจที่มันเป็นสมาธินี่ เข้าไปลึกตื้นต่างๆ กัน รสชาติอันนี้มันสำคัญ เพราะมันเป็นสิ่งที่ยืนยันกับเราไง สันทิฏฐิโก

ใจดวงนั้น ถ้าจิตมันเคยเป็นสมาธิขึ้นมา พูดถึงสมาธิมันจะเข้าใจเรื่องสมาธิ จิตไม่เคยเป็นสมาธิ แต่เข้าใจว่าเป็นสมาธิ นี่เราเข้าใจว่าเป็นสมาธิ เราก็พูดเรื่องของสมาธิในความเข้าใจของเรา แต่ความจริง สมาธิมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม เพราะอะไร เพราะจิตเราไม่เคยเข้าไปสัมผัส แต่ถ้าจิตเข้าไปสัมผัสสิ่งใด มันก็รู้ได้สิ่งสัมผัสนั้น

สิ่งที่สัมผัสถ้าเป็นมิจฉาสมาธิมันก็ไม่รู้ตัวของมัน แต่ขณะที่เราวิปัสสนาไป เราทำกรรมฐานของเราเข้ามามันจะมีความผิดความถูกอย่างนี้ มันจะสอนใจไง นี่ผิดเป็นอย่างนี้ ผิดมันไม่มีกำลังอย่างนี้ ผิดเรายังมีความลังเลสงสัย แต่ถ้าเป็นถูก เป็นสัมมาสมาธิ มันจะมีความสุขของจิต แล้วจิตมีกำลังอย่างนี้มันจะต่างกัน มันจะตื่นเต้น เห็นไหม นี่ปุถุชนและกัลยาณปุถุชน

แล้วถ้ามีกำลังจนทำฐานขึ้นมาจนมั่นคงขึ้นมา แล้วน้อมไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ในผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แล้วมันแยกส่วนขยายส่วน วิภาคะนะ สิ่งที่เกิดขึ้นมาของใจ สิ่งที่ความเป็นไปของใจ ปัญญาที่มรรคมันหมุนขึ้นไป มรรคญาณที่มันเกิดปัญญา เป็นอริยสัจอยู่ในหัวใจนี่มันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากพื้นฐานนะ เกิดขึ้นมาจากการฝึกฝน การฝึกฝนนะ พื้นฐานที่ฝึกฝน นี่กรรมฐาน ๕ กรรมฐาน ฐานอยู่ที่ไหน

งานที่เขาทำกันทางโลกเขาต้องมีที่ทำงานของเขาทั้งนั้นล่ะ แต่เวลาจิตมันทำงานนี่ไม่มีใครรู้เลย มันพ่นพิษในหัวใจ มันคิดแล้วคิดเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่าในหัวใจ พ่นแต่ความทุกข์มานี่เราก็ไม่รู้จักมัน แต่เพราะเรามีครูมีอาจารย์คอยชี้นำเข้ามา คอยประคองเราเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม นี่มันก็พ่นพิษมาอย่างนี้ แล้วมันจะคายพิษอย่างไร มันจะชำระล้างอย่างไร มันชำระล้างเพราะความเห็นผิด

ความเห็นผิดของมันนะ ดูสิ ดูพลังงานที่มันไปตามท่อมันก็ไปตามธรรมชาติของเขา แต่พลังงานของใจมันก็ไปตามท่ออย่างนั้น แล้วมันมีผลออกมาเป็นความสุขความทุกข์ไง ความสุขความทุกข์ในหัวใจ แล้วเรามาใคร่ครวญ เราแยกแยะอย่างนี้ สิ่งที่แยกแยะคือการแยกส่วนขยายส่วน เห็นไหม ไอ้สิ่งนี้มันมีอะไรตามมาด้วยล่ะ? เพราะมันมีอวิชชา มันมีความไม่รู้ไง

พลังงานที่สกปรกกับพลังงานที่สะอาด...พลังงานที่สกปรกมันใช้พลังงานได้เหมือนกัน แต่มันให้ผลในทางสกปรก ให้ผลสิ่งแวดล้อมมหาศาลเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นพลังงานของกิเลส เห็นไหม มันเป็นกิเลส มันเป็นอวิชชา มันไม่เข้าใจของมัน มันก็ว่าสิ่งนี้เป็นเรา ยึดไปหมดนะ สิ่งนี้เป็นเราๆ แล้วมันก็เสื่อมสภาพโดยธรรมชาติของมัน เพราะมันเป็นอนิจจัง

“สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

ชีวิตเราจะชราคร่ำคร่าไปโดยธรรมชาติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตั้งแต่เกิด ตั้งแต่เด็กน้อย ผิวอ่อนๆ เห็นไหม สุดท้ายแล้วก็ต้องเติบโตขึ้นมา แล้วมันก็จะเหี่ยวจะย่นไปโดยธรรมชาติของมัน มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ ถ้าเป็นอยู่อย่างนี้เราก็พยายามจะเหนี่ยวรั้ง พยายามจะดึงของเราไว้

แต่ถ้าเป็นวิปัสสนานะ มันจะอืดขึ้นมา มันจะทำลายของมันขึ้นมา แล้ววิปัสสนาในธาตุ ๔ เห็นไหม มันทำลายตัวมันเอง มันกลับสู่สภาพเดิมของเขานะ ดูสิ เวลาสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ เวลาคนตายขึ้นมา ในร่างกายมันมีเลือดมันมีน้ำของมัน สิ่งที่เน่าเปื่อยแล้วมันก็กลับกลายเป็นดินของมัน อากาศมันกลับคืนสู่อากาศ เพราะอะไร เพราะอากาศในโพรงกระดูกมันมีอากาศของมัน ลมหายใจมันขาดออกไปตั้งแต่เวลาตายแล้ว ธาตุไฟ คือตัวรู้ ธาตุไฟ คือพลังงาน คือตัวจิต จิตมันมีพลังงานอยู่นะ จิตมันมีพลังงานของมัน เหมือนกับตัวธาตุ

ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้คือไออุ่น คือพลังงานตัวนี้ พลังงานตัวนี้มันพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เป็นธาตุ ๔ นะ แต่ถ้าเป็นจิตล่ะ? เป็นจิต เวลาคนวิปัสสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุตูปปาตญาณ จิตดวงนี้ตายแล้วไปเกิดที่ไหน นี่สิ่งที่เห็นนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณจะไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม เล็งญาณไปเล็งที่ไหน เราก็เล็งกันที่ความประพฤติเหรอ

เล็งญาณมันเล็งที่หัวใจนะ ดูสิ เล็งญาณ ก็เล็งจริตนิสัย จริตนิสัยคน คนนี้มีโอกาส เพราะอะไร เพราะเขาสร้างสมบุญญาธิการ มันมีพลังของจิต ดูสิ ดูอย่างคนคิด คนเราบางคนจิตอ่อน บางคนจิตเข้มแข็ง บางคนจิตมีเชาวน์ปัญญา สิ่งนี้มันสร้างสมมา แล้วการสร้างสม การเกิดและการตาย เวียนตายเวียนเกิดมานี่ใครจะรู้ของใคร แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ เล็งญาณตรงนี้ ถ้าตรงนี้สอนไป เห็นไหม

เราเคยสนทนาธรรม บางคนพูดหนเดียวเข้าใจ บางคนพูดแล้วพูดเล่าเป็นร้อยหนพันหนก็ไม่เข้าใจ นี่ความรับภาระของใจมันไม่เหมือนกัน แล้วเราวิปัสสนาไป คนยิ่งวิปัสสนาเห็นประสบการณ์ของจิต จิตมันมีการกระทำของมันไป...มาสนทนาธรรมไง มาถามครูบาอาจารย์ เห็นไหม สอนไปแก้ไขไปๆ สิ่งนี้มันจะวนไป มันจะเข้าไปถึงของใจ เพราะใจมันยึดของมัน ตัวใจเองก็ยึดตัวเอง พอยึดตัวเองแล้วมันเป็นอวิชชาอยู่แล้ว แล้วมันก็ยึดความคิด ยึดต่างๆ ออกไปทั้งหมดเลย

ถ้าเราวิปัสสนาไปอย่างนี้ สิ่งที่มันยึดยึดอะไร ถ้าเพราะยึดอย่างนี้ เพราะความเห็นผิด ถ้าความเห็นผิด พอยึดแล้วถ้ามีรากมีฐาน เห็นไหม ทุกอย่าง มารจะย่ำยีได้ มารจะย่ำยีความคิดเรานี่ เวลาเราว่า ความคิดเรา เราคิดในใจนี้ไม่มีใครรู้อะไรกับเรานะ แต่เวลามันคิดขึ้นมานี่ ผลตอบสนอง เห็นไหม ดูสิ ร่างกายก็สะเทือนไปหมด แล้วเวลาคิดออกมา ผลตอบมาถึงเป็นจริต เป็นนิสัย เป็นความรู้สึก เห็นไหม ย้ำคิดย้ำทำ ถ้าย้ำคิดย้ำทำก็จะเป็นจริตนิสัยไป

สิ่งที่มันเป็นไปอย่างนี้มันย้อนกลับมามันก็เป็นความทุกข์ แต่ถ้าเราวิปัสสนาไป เห็นไหม ปัญญา มันปล่อยนะ มันปล่อยมันชำระล้าง มันชำระล้างสิ่งที่ย้ำคิดย้ำทำ ให้ผลตอบตอบสนองว่าให้เป็นความพอใจ

แต่ถ้าวิปัสสนาไป มันเห็นต่าง มันเห็นฝั่งตรงข้าม ตรงข้ามว่าสิ่งนี้มันต้องทำลายไป สิ่งนี้ทำลายไปเป็นครั้งเป็นคราว บ่อยครั้งเข้า เห็นไหม นี่มันตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราว ถ้ามันปล่อยวางชั่วคราว เห็นไหม ว่ากิเลสหมดคุณค่า สิ่งที่กิเลสหมดคุณค่านี่มันหมดคุณค่าจากภายนอก แต่ตัวกิเลสเองมันอยู่ที่ไหน? ตัวกิเลสเองมันฝังอยู่กับจิตเรา ถ้าตัวกิเลสไม่ฝังมากับจิตมันไม่เป็นอวิชชาหรอก

แต่เพราะเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่มันเป็นวิชชา มันเป็นอริยสัจ สิ่งที่เป็นวิชาธรรม เห็นไหม ธรรมที่เกิดขึ้นมาจากปัญญาของเรา เกิดมาจากสัมมาสมาธิที่เราพยายามทำให้จิตสงบเข้ามา แล้วออกใคร่ครวญในโลกุตตรปัญญา ไม่ใช่โลกียปัญญา เพราะถ้ามันเป็นปัญญาของโลกๆ เขา เป็นโลกียปัญญา ออกมาจากกิเลสพาใช้ เพราะจิตเราสงบของเราเข้ามา มันจะพื้นฐานขึ้นมา เวลาปัญญามันออกมา เพราะเราฝึกฝนออกมาอย่างนี้ มันเป็นอริยสัจ มันเกิดมาจากมรรคญาณ มรรคญาณนี้เป็นโลกุตตรธรรม

ถ้าโลกุตตรธรรม มันใคร่ครวญ ได้ใคร่ครวญในสิ่งที่ว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่หัวใจมันไม่เข้าใจ หัวใจไปยึดติดโดยอุปาทาน โดยสัญชาตญาณเลย เพราะอะไร เพราะกิเลสในหัวใจ คนเกิดมาต้องมีสิ่งนี้ฝังมากับใจ เพราะมันเป็นอนุสัยนอนเนื่องมากับจิต

สิ่งที่จิตนี้เป็นนามธรรม เรายังจับต้องไม่ได้ แต่ขณะที่ใครทำสัมมาสมาธิได้ จิตตั้งมั่นได้ นั่นแหละคือตัวจิต ตัวจิตคือตัวเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตนั้นน่ะ ตัวจิตตัวนี้เป็นตัวจิตปฏิสนธิจิตที่มันเกิดตายอยู่ สิ่งนี้เราใคร่ครวญ สิ่งนี้เราออกวิปัสสนาเป็นโลกุตตรปัญญา มันจะใคร่ครวญสิ่งนี้ปล่อยวางเข้ามาๆ สิ่งที่มันไปยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปาทาน มันปล่อยวางทีหนึ่งมันก็ปล่อยวางขึ้นมา มันก็เบาขึ้นมา มันก็เป็นความสุขขึ้นมา

ความสุขจากผลของงานนะ เราทำงานสำเร็จหนหนึ่ง เราก็พอใจไหม เราทำงานเสร็จชิ้นใดขึ้นมา เราก็นี่ผลงานของเราๆ จิตวิปัสสนาเป็นตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราว ถ้าปล่อยวางชั่วคราวต้องตรวจสอบ หมั่นคราดหมั่นไถ หมั่นวิปัสสนาไปบ่อยครั้งเข้าๆ จนถึงที่สุด เห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันทะลุไปหมด มันปล่อยวางไปหมด มันเป็นสมุจเฉทปหานนะ

ไม่ใช่ว่า ความเข้าใจนะ เห็นไหม ดูสิ เวลาเราเข้าใจสิ่งใด เราศึกษาทำงานขึ้นมา ถ้างานยังไม่เสร็จเราก็ทำงานอยู่อย่างนั้น เราก็ทำของเราอยู่อย่างนั้น เราไม่ใช่ปล่อยงานมา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรายังวิปัสสนาอยู่ ปัญญายังใคร่ครวญอยู่มันก็เป็นปัญญาอยู่อย่างนั้น นี่มันไม่มรรคสามัคคี ไม่รวมตัว ถ้ารวมตัวขึ้นมานี่สมุจเฉทปหาน ปล่อบพั๊บ! ขาด! แล้วสิ่งนี้จะไม่เกิดอีกเลย มันเป็นอฐานะ เห็นไหม

เวลาจิตนี้ว่า มันหมดคุณค่า กิเลสหมดคุณค่าแล้วนะ ภวาสวะ จิต กิเลสล้วนๆ เลย แต่เวลาวิปัสสนาไป เห็นไหม เวลากิเลสมันขาดไป มันปล่อยวางเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป นี่เนื้อๆ เลย ตัวกิเลสเลย กิเลสมันมีตัวตนให้เราเห็นนะ เวลาเราทำลายมัน เวลามันขาดไป มันทำลายไป มันเห็นๆ เลย สังโยชน์ขาดออกไปเลย ความเห็นผิด สักกายทิฏฐิ ร่างกายเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา นี่มันปล่อยวาง มันขาดออกไป

ร่างกายนี้มันได้มาด้วยกรรม เราเกิด จิตเรามันปฏิสนธิจิต เรามีกรรมของเราอยู่ แล้วมาเกิดในครรภ์ของมารดา มันถึงได้ร่างกายนี้มา ถ้าในปัจจุบันนี้ตายเดี๋ยวนี้ จิตออกจากร่างนี้ไป ถ้าเป็นโอปปาติกะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็เป็นจิตดวงนี้ไปเกิด เห็นไหม เราก็ไม่มี ร่างกายนี้ก็ทิ้งไว้นี่ ก็ได้สถานะใหม่ๆ ไปอย่างนี้ตลอดไป

เพราะมันหมุนในวัฏฏะ เพราะมันต้องเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ เพราะมันมีแรงขับ แล้วเราใช้วิปัสสนาของเรา ใคร่ครวญไปจนมันเห็นสัจจะความจริง มันทำให้จิตนี้ไม่หมุนไปตามวัฏฏะ เพราะมันมีต้นมีปลายแล้วไง ถ้าจิตมันไปตามวัฏฏะ มันจะไม่มีต้นไม่มีปลาย วัฏฏะนี้ไม่มีขอบเขต มันจะหมุนไปตลอดไป

แต่จิต เวลาวิปัสสนาไปจนถึงที่สุด มันปล่อยวางทั้งหมด ปล่อยวางทั้งหมดนะ จิตนี้ครอบงำวัฏฏะ ดูสิ ตั้งแต่พรหมลงมา คิดดูขอบเขตมันจะขนาดไหน แล้วจิตนี้มันจะเข้าใจไปหมด มันใหญ่ มันครอบวัฏฏะไว้หมดเลย

สิ่งที่มันมหัศจรรย์มากมันอยู่ที่ผลของการวิปัสสนา ผลของการที่เราเชื่อในศาสนานะ ผู้ใดกราบธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา กราบอะไร? กราบธรรมคือสัจจะความจริงอันนี้ไง แล้วสัจจะความจริงอันนี้มันจะเกิดกังวานอยู่ท่ามกลางของหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นสัจจะความจริง นี่เห็นสัจจะความจริง นี่ตัวธรรม

ถ้าตัวธรรมเกิดขึ้นมาในหัวใจเรา ใจเราเป็นธรรม

ดูสิ เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา”

ถ้าเราใคร่ครวญโดยปุถุชน โดยวิทยาศาสตร์ก็เข้าใจ ทุกอย่างในโลกนี้ถ้าเป็นวัตถุแล้ว มันต้องเสื่อมสลายเป็นธรรมดา นี่เราเข้าใจกันได้แค่นี้ไง ถ้าเข้าใจกันได้แค่นี้มันก็รู้แบบวิทยาศาสตร์ เห็นไหม

แต่ถ้าเข้าใจ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” จิตมันเกาะอะไร จิตมันคิดอะไร สิ่งนั้นไม่มีคุณค่าเลย เพราะอะไร ขณะที่มันเสวยอารมณ์ที่มันกระเพื่อม นั้นล่ะมันเกิด แล้วสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ถ้ามันดับไปเป็นธรรมดาแล้วความคิดมันจะให้โทษกับจิตได้อย่างไร

ความคิดนี้ให้โทษกับจิตนะ เพราะเราไม่เห็นเป็นธรรมดาไง เราคิดอะไรเราก็พอใจสิ่งนั้น เราว่าสิ่งนั้นเป็นเรา เราก็ยึดสิ่งนั้น เรายึดไปหมด จิตมันไม่ยอมรับความเป็นธรรมดาหรอก แต่เพราะด้วยวิปัสสนาญาณเข้าไป มันเห็นเป็นธรรมดา จนมันขาดออกไป กิจจญาณ สัจจญาณ เกิดกังวานในหัวใจ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” ปลื้มอกปลื้มใจมาก เพราะอะไร

เพราะสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาที่โคนต้นโพธิ์นี้ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก สงฆ์องค์แรก คือใจมันเป็นสงฆ์ สิ่งที่เป็นสงฆ์ เห็นไหม นี่สมมุติสงฆ์ บวชขึ้นมานี่เพื่อเป็นนักรบ บวชขึ้นมาเพื่อจะต่อสู้กับกิเลส แล้วต่อสู้กับกิเลส สิ่งนี้เราได้สถานะมา สถานะนี้เป็นสมมุติพร้อมหมดที่จะต่อสู้กับกิเลส การต่อสู้เราต้องเข้มแข็งสิ เพราะอะไร เพราะเราต้องเดินตามครูบาอาจารย์ของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน องค์ศาสดา เห็นไหม ขณะที่ล้มลุกคลุกคลาน ผู้ที่ฝึกงาน ความผิดความถูก เรายังทำงานไม่ถูกต้องนี้ มันก็มีความผิดพลาดเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี ผิดถูกอยู่อย่างนี้ ทำมาตลอดไป เห็นไหม สิ่งที่ทำผิดทำถูกมา ถึงที่สุดแล้วเวลาตรัสรู้มาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือนะ เพราะอะไร เพราะรู้แจ้งโลกนอก โลกใน รู้แจ้งจริตนิสัยของสาวกสาวกะทั้งหมด จากที่พอรู้จริงขึ้นมา มันเปลี่ยนจากการล้มลุกคลุกคลาน เปลี่ยนจากการที่ว่ายังมีความลังเลสงสัย จนทะลุปรุโปร่ง จนรู้แจ้ง จนเหาะเหินเดินฟ้า แล้วแสดงฤทธิ์แสดงเดชได้มหาศาลเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระ ตั้งไว้ห้ามแสดงอุตตริมนุสสธรรม ห้ามแสดงฤทธิ์แสดงเดช แต่ให้แสดงธรรม เพราะแสดงธรรม ความเป็นธรรมมันทำให้หัวใจมันพัฒนาขึ้นมา สิ่งที่ไม่ให้แสดงฤทธิ์แสดงเดช เพราะสิ่งนี้มันเป็นเรื่องอภิญญา สิ่งที่เป็นอภิญญามันเห็นความเหนือมนุษย์ สิ่งที่เหนือมนุษย์อย่างนี้ ในปัจจุบันนี้เครื่องยนต์กลไกทำได้หมดล่ะ

แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นอริยสัจจากภายใน นี่มันเหนือกิเลส ถ้าเหนือกิเลส แม้แต่เทวดา อินทร์พรหม ยังต้องยอมรับ เห็นไหม ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขามีฤทธิ์มีเดชเขาทำได้มากกว่านั้นนะ มากกว่าสิ่งที่เทคโนโลยีทำได้อีก เพราะเขาทำได้ด้วยฤทธิ์ของเขา แล้วพระเวลาจิตมันสงบเข้ามา จิตมันมีฐานขึ้นมา ทำอย่างนั้นได้ ห้ามแสดง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงได้ แสดงได้ดีกว่า ได้เหนือกว่าทุกๆ คน ได้เหนือกว่าลูกศิษย์ เอตทัคคะ ๘๐ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้หมดเลย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ เป็นผู้แต่งตั้ง ผู้แต่งตั้งเขาต้องมีอำนาจเหนือเขาทั้งนั้นล่ะ

สิ่งที่มันมหัศจรรย์ เห็นไหม จากที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ ล้มลุกคลุกคลานไปอย่างหนึ่งนะ ขณะที่สำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไร เพราะฐานที่สร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์มันหนุนไว้ ฐานมันกว้างขวาง ฐานมันเข้มแข็งมาก ฐานใหญ่โตมาก แล้วให้ฐานใหญ่โตขนาดนั้น แล้วรวมลงเป็นหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวคือตัวจิต สร้างสมบุญญาธิการมา เกิดตายๆ สละทานไว้ขนาดไหนก็รวมลงที่จิต เพราะจิตนี้เป็นผู้สละๆ เห็นไหม ฐานกว้างขนาดไหนรวมลงมาหนึ่งเดียวที่จิต แล้วจิตมันขยายออกมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วครอบคลุมไปในวัฏฏะ ครอบคลุมไปหมดเลย รับรู้ไปหมด เห็นต่างๆ ไปหมด

นี่มันต่างกัน ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ทุกข์อย่างหนึ่ง ต่อสู้อย่างหนึ่ง เพราะต่อสู้มันยังไม่ทะลุอวิชชา อวิชชาคือมารมันครอบงำอยู่ แต่ขณะที่ทำลายมารแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอีกอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเลย เพราะมันเข้าใจธรรม สัจจะความจริงทั้งหมด อริยสัจจะ ไม่มีใคร เห็นไหม

เวลาแสดงธัมมจักฯ เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม ร่ำลือตลอดไป โลกนี้มียาแล้ว โลกนี้มีการแก้ไขแล้ว โลกนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เห็นไหม ส่งข่าวต่อๆ กันไปตลอดนะ สิ่งที่ครอบคลุมวัฏฏะไง สิ่งที่เป็นธรรมอย่างนี้ ธรรมมาจากไหน ธรรมอันนี้มันมาจากไหนล่ะ? มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ สละมาตลอด เห็นไหม นี่ฐานกว้างอย่างนั้น เข้าใจสภาวะแบบนั้น แล้วสอนเราไง

แล้วเรามีศาสดา มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง เห็นไหม นี่สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น ล้มลุกคลุกคลานอยู่ ๖ ปี อัตตกิลมถานุโยคกับลัทธิใด ผู้ใดที่ทำเข้มแข็งขนาดไหน ผู้ใดที่มีการสั่งสอนที่ว่าต้องให้ชนะกิเลสด้วยวิธีการอัตตกิลมถานุโยค คือพยายามบังคับให้มันเป็นไป แล้วทดสอบแล้วมันก็ไม่เป็น...กามสุขัลลิกานุโยค อยู่เฉยๆ ทำความสงบเฉยๆ แล้วมันจะชำระกิเลสเอง เกิดตายๆ ๕๐๐ ชาติแล้วก็จะจบไปเอง เห็นไหม ไปทดสอบมาแล้วก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งนั้นเพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นปัจจุบัน

เวลาประพฤติปฏิบัติอยู่ นี่พิณ ๓ สาย หย่อนไปก็ไม่ได้ ตึงไปก็ไม่ได้ ถ้าเป็นมัชฌิมา มัชฌิมาปฏิปทาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าขึ้นมามันมัชฌิมาในหัวใจนะ แต่ถ้าเราเป็นปุถุชน เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ มัชฌิมาของเรามันพอใจ มันเป็นมัชฌิมาของกิเลสไง สิ่งนั้นหนักไป สิ่งนี้หย่อนไป สิ่งนี้ตึงไป อย่างนี้ตลอด ทดสอบ เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีนี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีนี่ไม่มีตำรา ไม่มีใครสอนนะ สิ่งที่สอน คือสอนเรื่องโลกๆ สอนสิ่งที่เป็นอภิญญา ดูสิ ฤๅษีชีไพรจะเหาะได้ขนาดไหน ถึงเวลาแล้วก็ตก เวลาจิตมันไม่มีกำลัง ไปไหนไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะมันต้องใช้พลังงานของจิต จิตตัวนี้ต้องเข้าสมาบัติ ต้องมีกำลังถึงทำสภาวะอย่างไรก็ได้ด้วยกำลังของจิต แล้วมันทรงไว้ได้ไหม

ดูสิ พลังงานที่ในโลกนี้มีอยู่นี่ มันทรง มันไม่เสื่อมสภาพมีไหม? ไม่มีเลย สมาธิก็เหมือนกัน สมาบัติก็เหมือนกัน ขณะที่ร่างกายแข็งแรง ทำได้ทั้งนั้นล่ะ แต่ขณะที่ร่างกายเสื่อมสภาพ หัวใจล้าอย่างนี้ ทำไม่ได้หรอก พลังงานใช้หมดแล้วต้องหมด นี่เรื่องของโลกๆ ไง แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงสิ มันคงที่ของมัน มันย้อนกลับมาจากภายในนะ

สิ่งที่ย้อนกลับมาภายในมันเป็นการชำระกิเลส มันเป็นเรื่องของอริยสัจ เห็นไหม สิ่งที่มันทำมา นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะต้องมีสติสัมปชัญญะไง เราจะมีสติของเรา เราจะตั้งใจของเรา จะทำของเราขึ้นมา เอาครูเอาอาจารย์เป็นตัวอย่างแล้วตั้งสติขึ้นมา เห็นไหม วิปัสสนาเข้ามาจนเห็นจริง ถ้าเห็นจริง เห็นสัจจะความจริง มันปล่อยวาง ปล่อยวาง จนมันขาดออกไป เห็นไหม

ความเห็นผิดมันเป็นอวิชชา มันเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเรา แล้วเราใช้วิปัสสนาของเราใคร่ครวญจากเนื้อของใจ จากตัวกิเลสมันขาดออกไป ถ้าตัวกิเลสขาดออกไป สิ่งที่เราเป็นเวไนยสัตว์ มรรค ๔ ผล ๔ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล

ถ้าเรามีอรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่มันมาจากไหน? มาจากกำลังของใจทั้งนั้น มาจากสัจจะความจริง มาจากอริยสัจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมา สิ่งที่มันเป็นเรื่องฤทธิ์เรื่องเดชเรื่องอภิญญามันเรื่องของโลก เรื่องของโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ลูกศิษย์แสดงนะ ไม่ให้แสดง เพราะถ้ามันแสดงไป ความเหนือไง ความเหนือเป็นเรื่องของกิเลสนะ

มานะ ๙ เราเสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา เราเสมอเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา เห็นไหม นี่มันเป็นมานะทิฏฐิ สิ่งที่เป็นมานะทิฏฐิ ถ้าความดำริชอบ ดำริเพื่อใคร? ดำริเพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้แก้ไขกิเลสดวงนี้ ไม่ใช่ดำริดวงนี้ให้ใจดวงนี้มันมีอำนาจเหนือใครทั้งสิ้น อำนาจเหนือใครนี่มันเป็นมานะทิฏฐิ

สิ่งที่เป็นทิฏฐิ เห็นไหม มิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิผิด ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิล่ะ อย่างที่ว่ามัชฌิมาปฏิปทาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมา เราทำไปเราตรวจสอบไป เราตรวจสอบกับจิตของเราไป

ถ้าเป็นมัชฌิมานะมันจะปล่อย มัชฌิมา เห็นไหม ถ้าเป็นอัตตกิลมถานุโยค มันจะตึงขนาดไหนก็แล้วแต่ อันนี้เป็นสัจจะนะ ลองผิดลองถูกไง ตึงไว้ดีกว่าอ่อน ถ้าอ่อนแล้วเดี๋ยวมันจะล้มลุกคลุกคลาน เห็นไหม ตึงไว้ แต่เราพยายามทำให้มันสมดุลไว้

นี่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นไง เวลาเราสร้างสมนะ เราสะสม สร้างสมขึ้นมา นี่มันลำบาก แต่ขณะที่เรามีทุนมีรอนขึ้นมาแล้ว ทำอะไรก็ทำได้ จิตที่มันพัฒนาของมันขึ้นมาจนชำนาญไง ชำนาญในการทำความสงบของใจ ชำนาญในการใช้ปัญญานะ

ถ้าใจมันสงบเข้ามามันจะเกิดปัญญาเอง เราคิดกันไปนะ “ทำความสงบของใจก็ทุกข์พอสมควรแล้ว แล้วใช้ปัญญา ปัญญามันมาจากไหน” ปัญญาถ้าจิตมันไม่สงบนะ ปัญญามันเกิดขึ้นมันเป็นสัญญา มันเป็นสังขารที่กิเลสพาใช้ แต่ถ้าจิตมันสงบขึ้นมานะ ปัญญามันเกิดขึ้นมานี่มันเป็นโลกุตตรปัญญา

โลกุตตรปัญญา ใคร่ครวญไปในเรื่องของกิเลส มันเหมือนกับดาบเพชรไง ฟันสิ่งใดมันก็ขาด ปัญญา ถ้าเรามีความสงสัย เรามีทิฏฐิมานะในหัวใจ ถ้ามันใช้ปัญญาเข้าไปใคร่ครวญนี่มันขาด ขาดเพราะอะไร ขาดเพราะมีสัมมาสมาธินี้รองรับ เห็นไหม ปัญญาอย่างนี้เราคิดเองไม่ได้ ถ้าเราคิดเองได้นะ เราคิดให้เราขาดก็ได้ เราคิดให้เราปล่อยวางก็ได้ คิดต่างๆ คิดอย่างนี้มันเป็นความคิด นี่ไง ที่ว่ากิเลสมันเฟื่องฟูไง ถ้ากิเลสมันเฟื่องฟูมันคิดอย่างนี้ ธรรมะของกิเลสเป็นอย่างนี้

แต่ถ้ากิเลสไม่มีคุณค่า เห็นไหม มันเป็นเรื่องของธรรมนะ กิเลสไม่มีคุณค่า เพราะมันเป็นสัมมาสมาธิ จิตมันสงบเป็นพื้นฐาน แล้วมันใคร่ครวญไปเกิดโลกุตตรธรรม มันเกิดเอง มันเกิดเองโดยเราฝึกฝนนะ คำว่า “เกิดเอง” นี่มันเป็นปัจจุบันไง มันเกิดขณะที่เราคาดหมายไม่ได้ เราตบแต่งไม่ได้ เราจะให้มันเป็นอย่างที่เราสมความปรารถนาไม่ได้ เพราะเราปรารถนานี้เป็นตัณหาความทะยานอยาก

แล้วเวลาคิดผิดคิดถูก เราบอกว่า เราเป็นวิภวตัณหา คือปฏิเสธก็ไม่ได้ นี่การสะสม การสร้างสมอย่างนี้ เราต้องฝึกฝนขึ้นมาให้ธรรมจักร ให้ความคิดของเรามันหมุนออกไป ธรรมจักรหมุนนะ ความเพียรชอบ งานชอบต่างๆ มันหมุนของมันนะ ปัญญามันหมุนของมัน ถ้ามันเริ่มละเอียดยิ่งลึกซึ้งขึ้นไป ยิ่งสูงขึ้นไป ปัญญายิ่งเร็วมาก

ขณะที่ว่าเราคิดทีเดียวนี่มันรอบไปแล้ว ขณะความคิดมันจะหมุน มีเหตุมีผลของมันพร้อมหมดตลอดเวลา ขณะที่อะไรกระทบใจ บิณฑบาตมามีสิ่งที่กระทบกระเทือน ดูสิ เวลาเขาไปบิณฑบาต เห็นไหม คฤหัสถ์เขามีปัญหากัน เขาทะเลาะเบาะแว้งกัน เขามีปัญหากัน นี่เราได้ยินมา มันเป็นเทศน์กัณฑ์ใหญ่ๆ สอนใจตลอดนะ นี่ดูสิ ชีวิตทางโลกเขามีความทุกข์อย่างนี้ แล้วควบคุมตัวเองไม่ได้มันก็มีปัญหากัน กระทบกระเทือนกัน แล้วเราเป็นใคร? เราเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เราไม่มีการกระทบกระเทือนกับใคร แต่หัวใจกับกิเลส ธรรมกับกิเลส ในหัวใจมันกระทบกระเทือนกัน นี่มันก็ย้อนกลับมาๆ มันเห็นแล้วมันจะมีปัญญารอบรู้ไปตลอด เห็นไหม

ขณะที่เราก้าวเดินไป ถ้าใจเราเป็นธรรมนะ สิ่งใดที่เกิดขึ้นมามันจะเป็นคติเตือนใจเรามาตลอด คติธรรม ไม่ใช่คติกิเลส ถ้าใจมันมีกิเลส มันคติกิเลสไง “เราเป็นคนมีวาสนาน้อย เราเป็นคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาเหมือนโลกเขา โลกเขาใช้ชีวิตแบบสุขสมบูรณ์ของเขา”

สุขนี่มันสุขเปลือกๆ มันสุขเพราะปัจจัยเครื่องอาศัย แต่หัวใจมันเร่าร้อน ของเรานี่มันตัดทอนกิเลสไม่ให้กิเลสมันมีอำนาจ เห็นไหม ถือธุดงควัตร ถือต่างๆ ขึ้นมานี้เพื่อให้กิเลสมันเบาตัวลง ให้กิเลสมันอ่อนตัวลง เพื่อจะให้ธรรมมันได้เกิดได้ผุดขึ้นมาบ้าง ให้ปัญญามันได้ผุดขึ้นมา ปัญญามันผุดขึ้นมามันก็หมุนของมันไป เห็นไหม มันก็ชำระจากภายใน นี่อยู่โคนไม้ก็มีความสุข ถ้าจิตมันมีความสุข จิตมันไม่แบกรับภาระ อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุข

แล้วเวลากิเลสมันฟูขึ้นมา มันก็เห็นว่า “โลกเขามีความสุขกัน เขามีเครื่องผ่อนแรง เขามีความสุข”...มันสุขมาจากไหน มันผ่อนใจได้ไหม มันผ่อนความแก่ชราได้ไหม มันผ่อนเรื่องการเกิดการตายได้ไหม? มันผ่อนอะไรไม่ได้เลย

แต่ปัญญาของเราสิ มันผ่อนได้ มันเห็นการชราคร่ำคร่า มันเห็นกันไป เห็นมาร มารไม่เคยแก่เฒ่านะ จิตดวงใดตั้งแต่เด็กจนตาย มารจะข่มขี่ไปตลอดนะ แล้วไปเกิดที่ไหน? ไปเกิดเป็นพรหม มารก็ไปขี่บนพรหมนั่นน่ะ

เว้นไว้แต่พระอนาคามี ๕ ชั้น พอไปนี่มารมันข่มขี่ไม่ได้นะ เพราะอะไร เพราะพ้นจากกามภพ แล้วมันจะสุกไปข้างหน้า ถึงที่สุดแล้วจะสิ้นกิเลสไปโดยธรรมชาติเลย แต่สิ่งที่มันเป็นพรหม ๕ ชั้นของพระอนาคามี แต่ต่ำกว่านั้นนะ มารมันขี่หมด เหยียบย่ำตั้งแต่พรหมลงมาเลย จะละเอียดอ่อนขนาดไหน จะมีความสุขประณีตขนาดไหน มารจะอยู่บนใจนั้นเพราะอะไร เพราะมีภวาสวะ มีภพ มีสถานที่ มีความรู้สึก

แต่ขณะที่วิปัสสนามา สิ่งนี้เราจะปลดเปลื้องสถานที่ ปลดเปลื้อง ทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายสถานที่ ทำลายต่างๆ ไม่ให้มารมันมีที่อยู่อาศัยไง ไม่ให้มารมันขับถ่ายอยู่บนหัวใจของเรา มารจะขับถ่ายในหัวใจของเราไม่ได้ ถ้ามันไม่มีสถานที่ให้มันขับถ่าย เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยมารไง “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา” ดำริมันมาจากไหน? ดำริมันก็มาจากภพ มาจากภวาสวะ “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา บัดนี้เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีก เจ้าจะเกิดจากใจของเราไม่ได้อีกเลย”

แล้วเวลาพระอรหันต์คิดมันไม่มีภพเหรอ? ไม่มี

เวลาครูบาอาจารย์ ตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมานี้ เวลาเทศนาว่าการมันมาจากไหน สิ่งที่เวลาสั่งสอนลูกศิษย์มันมาจากไหน ถ้ามันมาจากไหน นี่มารมันตามไม่ทัน มันถึงออกมาเป็นธรรมล้วนๆ ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราแสดงธรรมออกมา ธรรมมันออกมาจากใจ ธรรมมันออกมาจากธรรมธาตุ มันไม่มีภพไม่มีชาติหรอก มันไม่มีสถานที่

ถ้ามีภพมีชาติอยู่มันยังมืดบอด ถ้ายังมีภพมีชาติ เพราะใจดวงนี้มันต้องเกิด เพราะมีภพ ภพต้องพาเกิดพาตาย เพราะมันปฏิสนธิจิต ถ้าภพมันพาเกิดพาตาย ในเมื่อมันมีภพ ภพพาเกิดพาตายแล้วออกมาจากภพ...ก็ออกมาจากกิเลสไง ออกมาจากอวิชชา

แต่ถ้าออกจากธรรมธาตุ มันไม่ใช่ออกจากภพ “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีก” แต่การแสดงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกิริยา เป็นกิริยาที่ไม่มีภพ วิมุติสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาที่โคนต้นโพธิ์ เห็นไหม เสวยวิมุตติสุขอยู่ สุขอันนี้ สุขที่ไม่มีภพไม่มีชาติ สุขที่ไม่เกิดไม่ตาย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมากับเรามันเกิดมาจากไหน? ก็มันเกิดมาจากมาร เราถึงต้องย้อนกลับเข้ามาวิปัสสนาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม จากโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ขึ้นไป อนาคามี คือกามภพ นี่กามในหัวใจ สิ่งนี้มันอยู่ในหัวใจของเรา มันบีบบี้สีไฟนะ กำลังของมันมหาศาลเลย แล้วมัน...นี่โอฆะ ตัวจิตเองมันเป็นกาม สิ่งที่เป็นกาม กามจากข้างในและกามจากข้างนอก

กามจากข้างนอก เป็นกามของโลกๆ เขา กามจากข้างในนี่กามฉันทะ ความพอใจ ความเห็น ความคิดในใจนี่มันเป็นความพอใจ ถ้ามันทำลายแล้ว ความพอใจมาจากไหน? ความพอใจมาจากสถานที่ตั้ง ความพอใจเพราะความไม่เข้าใจ ความพอใจเพราะความไม่รู้ ความพอใจทำให้เวียนเกิดเวียนตายในกามภพ นี่วิปัสสนาไป ปัญญามันจะละเอียดลึกซึ้งมาก มันจะเข้าไปทำลายบ่อยครั้งเข้าๆ จนถึงที่สุด กามราคะขาดออกไปจากใจนะ เหลือเศษส่วน เศษส่วนคือเศษที่เหลือ เห็นไหม ต้องใคร่ครวญ ต้องใช้ปัญญาเลาะไปบ่อยครั้งเข้าๆ

ที่ว่าอนาคามี ๕ ชั้นหมดไป สิ่งที่หมดไป นี่จิตล้วนๆ ตัวภพ ตัวภพแท้ๆ ละเอียดมาก “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” ความผ่องใสๆ ผ่องใสนี่เป็นสมาธิอันหนึ่ง ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิมันผ่องใส ถ้าไม่มีสมาธิผ่องใส สมาธิว่างเฉยๆ ก็มี แต่ถ้าเป็นจิตแท้ๆ ต้องผ่องใสหมด มันผ่องใส มันเวิ้งว้างไปหมดเลย เพราะมันเป็นตัวจิต ตัวจิตมันจะลึกลับมหัศจรรย์มหาศาลเลย แล้วจิตมันไปจับตัวนี้ได้ เห็นไหม นี่ตัวอวิชชา

สิ่งที่ตัวอวิชชา มันไม่ใช่ขันธ์นะ สิ่งที่เป็นขันธ์ เห็นไหม นี่เป็นกองเลย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มัน เป็นกองของมัน นี่อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ ปัจจยาการ การสืบต่อของความคิด มันละเอียดมาก มันคิดโดยตัวของมันเอง ไม่ต้องสื่อความหมายกับใคร

แต่ขณะที่เราสื่อความหมายกันมันเป็นสื่อความหมายจากเสียงต่างๆ จากรหัสต่างๆ นี่คือการสื่อความหมาย แต่จิตไม่ต้องมีรหัส ตัวจิตเป็นตัวรับรู้ของมัน ปัจจยาการของมันอยู่ในหัวใจ เห็นไหม นี่สิ่งนี้ตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวต่างๆ เห็นไหม แล้วถ้าอรหัตมรรคเข้าไปจับสิ่งนี้ได้ แล้วใช้ปัญญาญาณเข้าไปทำลายตัวนี้ทิ้ง ถ้าทำลายตัวนี้ทิ้ง ถ้ามันเป็นกิเลสนะมันทำลายไม่ได้ เหมือนเรานี่ เรามีคุณค่ามาก มีสมบัติมาก เราจะทำลายไม่ได้ เราจะสงวนรักษามาก แต่ถ้าเป็นอรหัตมรรค มันเข้าไปจับต้องกับสิ่งนี้ได้

สิ่งที่เป็นเจ้าวัฏจักร เป็นพญามาร เรือนยอด ๓ หลัง นางตัณหา นางอรดี นี่เรือน ๓ หลัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง รวบมาเป็นยอด เป็นพญามาร สิ่งที่เป็นพญามารละเอียดลึกซึ้งมากอยู่ในหัวใจ แล้วเอาสิ่งใดเข้าไปชำระ เอาสิ่งใดเข้าไปจับต้อง แล้วเอาปัญญาญาณอย่างไรเข้าไปทำลายมัน แล้วทำลายสิ่งนี้ นี่อรหัตมรรค

นี่มันจากล้มลุกคลุกคลานนะ ถ้ากิเลสมีคุณค่า มันก็จะเป็นการสถาปนาว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ ถ้ากิเลสมันหมดคุณค่า เพราะกิเลสมันโดนสัมมาสมาธิกดถ่วงไว้ กิเลสมันโดนสัมมาสมาธิเหยียบย่ำไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นมา มันเป็นโลกุตตรธรรม ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล นี้เกิดมาจากไหน? เกิดมาจากที่กิเลสหมดคุณค่าก่อน ถ้ากิเลสหมดคุณค่ามันก็เปิดทางให้มรรคได้ก้าวเดิน เปิดทางให้โลกุตตรปัญญาได้ก้าวเดิน

ถ้ากิเลสมันมีคุณค่า สิ่งที่เกิดขึ้นมามันเป็นเรื่องของสัญญา มันเป็นเรื่องของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะจิตมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ธรรมะจะเกิดขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาด้วยการสร้างภาพ สร้างภาพว่าเป็นอย่างนั้น แต่มันไม่เป็นความจริงสักอย่างหนึ่งเลย

ถ้าทำมาถูกทาง ถ้าทำมาเป็นธรรมขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรานะ เพราะอะไร เพราะเราไม่ทำแล้วเสียเปล่าไง สิ่งที่ทำแล้วเสียเปล่า เพราะเราทำแล้วผิดพลาด วิธีการและเป้าหมาย วิธีการนี่เราผิดมาตลอดเลย ถ้าวิธีการมาผิด มันเป็นธรรมก็ธรรมผิดๆ ธรรมคาดเดา ธรรมด้นเดาไป แต่ถ้าวิธีการที่ถูกต้อง มันเป็นความจริงขึ้นมามันจะไม่ถามใครเลย มันจะเป็นสัจจะความจริงนะ ดูสิ สันทิฏฐิโกเกิดจากหัวใจดวงนั้น

ถ้าหัวใจดวงนั้น ในขั้นตอนของสมาธิก็พูดได้ขั้นตอนของสมาธิ ถ้าขั้นตอนสิ่งใดมันรู้ พูดออกมาจากความรู้สึก พูดออกมาจากความสัมผัส จิตมันสัมผัสสิ่งใด จิตมันรู้สิ่งใดขึ้นมา แล้วมันเป็นสันทิฏฐิโกขึ้นมาในหัวใจ ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะขั้นตอนการเป็นไปของมัน การเป็นไป การปล่อยวางขึ้นไป มันพัฒนาการจาก...ดูสิ แร่ธาตุจากเงินกลายเป็นทอง จากทองกลายเป็นเพชร แล้วแร่ธาตุมันเปลี่ยนได้อย่างไร แร่ธาตุมันกลายได้อย่างไร เห็นไหม ดูสิ ดูอย่างพวกพลอย พวกเพชรต่างๆ นี้ เขายังมาเผา เขายังหุงของเขาเพื่อให้มันเปลี่ยนน้ำได้นะ

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันทำลายของมัน กิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มันเปลี่ยนแปลงของมัน มันเป็น เปลี่ยนแปลงขนาดไหนมันก็มีจิตอยู่ใช่ไหม แต่ถ้าทำลายจิตทั้งหมด เห็นไหม “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” นี่สิ่งที่มันดำริ สิ่งที่ตั้งต้น มันไม่มี สิ่งที่ตั้งต้นไม่มี มันเป็นอะไร? มันเป็นธรรมธาตุ อันนี้ต่างหากที่จากความรู้สึกของเรา

ทั้งๆ ที่เริ่มต้นจากจิตที่มันเป็นความละเอียด เห็นไหม เริ่มตั้งแต่ปุถุชน ใจเป็นอย่างไรก็ไม่เข้าใจ นี่ใจกับกาย สิ่งที่ใจกับกายอยู่อย่างนี้เราก็ไม่เข้าใจว่ากายอยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่ไหน เราไม่เข้าใจอะไรไปหมดเลย แต่เวลาทำขึ้นไป เห็นไหม มันละเอียดลึกซึ้ง นี่ปัญญามันลึกลงๆ ไป โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันลงลึกๆ เข้าไปนะ ลงลึกเข้าไปชำแรกเข้าไปในหัวใจ เหมือนกับเราลงในแนวลึกลงไป แล้วไปทำลายกันในเบื้องลึกนั้น

จิตของเรามันอยู่กับเรา แต่ความลึกตื้นของมัน โอ้โฮ! ลึกซึ้งมาก ใจลึกซึ้งมาก

ดูสิ ดูอย่างทางโลกเขาว่ากัน เห็นไหม ความลึกขนาดไหนเขาคำนวณได้หมดเลย แต่ความลึกของใจ ของคน เล่ห์เหลี่ยมของใจของคน ใครจะคำนวณได้ คำนวณสิ่งนี้ไม่ได้เลย เพราะมันลึกซึ้งจนคำนวณอะไรไม่ได้

แต่เวลาธรรมะมันเข้าไปทำลายกันน่ะ จะลึกขนาดไหน มันตามทันหมดนะ มันจะตามลงไปแนวลึก แนวลึกที่เข้าไปทำลายอนาคามี อรหันต์ เข้าไปลึกมาก ลึกเข้าไป “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้...”

“เป็นผู้...” เห็นไหม เป็นผู้ที่เป็นมรรค เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส มันจะข้ามพ้นด้วยอะไรถ้ามันไม่ใช้มรรคญาณ ไม่ใช้ปัญญาอันลึกซึ้งที่มันเข้าไปทำลายกันในคูหาของใจ

ดูสิ ความลึกซึ้ง ตั้งแต่จิตมันออกไปกินเหยื่อข้างนอก แล้วเราวิปัสสนา ปล่อยวางเข้าเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา จนมาถึงเป็นคูหาของใจ เห็นไหม แล้วคูหาของใจ คือถ้ำ คือพญามารมันอยู่ในนั้น แล้วเราเข้าไปทำลายมันในถ้ำ นี่ปัญญาญาณจะหมุนเข้าไปในถ้ำ แล้วทำลายกันในถ้ำ เห็นไหม ทำลายตัวนี้ขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นธรรมในหัวใจนะ

ถ้าธรรมในหัวใจ สิ่งที่ธรรมในหัวใจ นี่ฟังธรรมภาคปฏิบัติ ปฏิบัตินี้ออกมาจากใจ ถ้าออกมาจากใจ คูหานั้นมันสะอาด ไม่มีสารพิษเลย แล้วธรรมที่ออกมาจากคูหานั้น คูหาคือร่างกาย คูหาคือความเป็นไป นี่สิ่งที่เป็นธาตุ ๔ นี่เป็นคูหา แต่หัวใจมันอยู่ในคูหานั้นไง นี่กลางคูหาของใจ แล้วมันสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ มันบริสุทธิ์ในตัวมันเองแล้ว เวลามันเปล่งแสงออกไปก็เป็นความสะอาด

ถ้ามันสกปรกในตัวมันเองแล้ว เปล่งแสงมันก็มีแต่แสงความสกปรกออกไปข้างนอกไปทำลายเขา นี่มันต้องทำลายตัวมันเองก่อนนะ เห็นไหม ดูมารสิ มารมันครอบงำอย่างนี้ มันนั่งอยู่ในหัวใจของเรานะ ในหัวใจของเรานี่ใต้พญามาร พญามารใช้สิ่งนี้เป็นสถานที่ แล้วขับถ่ายในหัวใจของสัตว์โลก ขับถ่ายแล้วบังคับบัญชานะ ให้เกิดให้ตายอยู่ในอำนาจของมันตลอดไป ถ้าเราใช้ปัญญาของเราเข้าไป วิปัสสนาของเราเข้าไป ใคร่ครวญของเราเข้าไป เราจะไม่ให้มันขับถ่าย ไม่มีสถานที่ตั้งให้ใครขับถ่ายอีกแล้ว

สิ่งที่ขับถ่ายมันเป็นเรื่องเพราะเราไม่รู้ ถ้ารู้ขึ้นมาแล้วใครจะยอมให้มารมาขับถ่าย แล้วใช้ธรรมะเช็ดถูกทำลายไปเรื่อยๆ เพราะการที่เราสร้างสมมา สร้างสมใจนี้มา สร้างคุณงามความดีมาขนาดไหน สิ่งใดๆ สร้างมามันต้องมีการกระทำนะ สร้างความดีมานี่มันส่งเสริมให้เป็นคุณธรรม ให้เป็นสมบัติของเราที่จะก้าวเดินอีกต่อไป

แต่ถ้าเราวิปัสสนา เราใช้ปัญญาของเรา ใช้ปัญญาของเราในปัจจุบันธรรม ทำให้ชำระล้างจนสำเร็จในปัจจุบันนี้ แล้วชีวิตเราจะจบสิ้นกระบวนการเดี๋ยวนี้ เอวัง